เทศน์เช้า วันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ฟังเทศน์เนาะ เทศน์คือสัจธรรม สัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้ธรรมนะ ท่านก็พยายามขวนขวายของท่าน แต่เวลาท่านตรัสรู้ธรรมแล้ว บุพเพนิวาสานุสติญาณ ท่านย้อนอดีตของท่านไปไง “เราเคยเป็นพระเวสสันดร เราเคยเป็น” เห็นไหม ฉะนั้น เวลาท่านเป็น ท่านถึงพูดถึงพุทธลักษณะ คำว่า “พุทธลักษณะ” นี่รูปสมบัติ คำว่า “รูปสมบัติ” พราหมณ์เขาท่องกันไว้แล้วว่าพุทธลักษณะเป็นอย่างไร
ฉะนั้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าชายสิทธัตถะนะ เวลาท่านตัดสินใจแล้วว่าท่านจะกลับมาฉันอาหาร นางสุชาดา นางสุชาดาเขาบนบานศาลกล่าวไว้ว่าถ้าเขามีลูกชาย เขาจะถวายข้าวทิพย์แก่เทวดา เวลาเขาไปเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่งอยู่ เขาคิดว่าเป็นเทวดา นี่รูปสมบัติ เขาคิดว่าเป็นเทวดานะ รูปสมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รูปสมบัติอันนั้นน่ะสวยงามมาก นี่เป็นรูปสมบัติไง แต่รูปสมบัตินี้ ก่อนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นคว้าอยู่ ๖ ปีน่ะ รูปสมบัตินี้ก็พาหัวใจของเจ้าชายสิทธัตถะไปสมบุกสมบันมา ๖ ปีนะ รูปสมบัติเป็นรูปสมบัติไง ถ้ารูปสมบัติที่ว่าจิตใจยังไม่สิ้นจากกิเลสไป รูปสมบัตินั้นก็เป็นความทุกข์ไปด้วยไง
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ว พระนันทะ พระนันทะเป็นน้องชาย เป็นญาติลูกผู้น้องขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รูปลักษณะคล้ายกันเลย พอคล้ายกัน เพราะอยู่ในวินัยไง พอตกเย็นขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเดินสำรวจวัด เดินตรวจวัด เดินตรวจความปกติของพระ พระจะประพฤติปฏิบัติหรือไม่ ท่านตรวจไปๆ เวลาท่านตรวจไป พระนันทะเดินมา พระนึกว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมา รีบปูอาสนะรอรับเลย ไม่ใช่ เป็นพระนันทะๆ นี่ไง รูปสมบัติ พูดถึงรูปสมบัติ
ถ้านั่นเป็นรูปสมบัติที่งดงาม รูปสมบัติมันเป็นบุญกุศล คำว่า “บุญกุศลของเรา” มนุษย์สมบัติๆ ศีล ๕ ผู้ที่ได้เสียสละมา ผู้ไม่ได้ทำลายชีวิตใครมา เวลามาเกิดมาชีวิตยืนยาว คนเราอายุสั้นๆ มันตัดทอนๆ ไปทั้งนั้นน่ะ การตัดทอนคือการกระทำมาทั้งนั้น นี่คือมนุษย์สมบัติ
ทีนี้รูปสมบัติ รูปสมบัติมา รูปสมบัติถ้ามันเป็นประโยชน์ มันเป็นคุณงามความดี มันเป็นความจริงขึ้นมา มันจะเป็นประโยชน์ไง ดูสิ ดูพระกัจจายนะท่านก็ไปเผยแผ่ธรรมของท่าน รูปสมบัติ ใครมาเห็นนะ มันสวยกว่าผู้หญิง จนบุรุษเขานึกว่า ถ้าเราได้พระกัจจายนะเป็นภรรยา เราจะมีความสุขมาก คิดไปนู่นเลยนะ พอคิดปั๊บ ท่านแปลงเพศเป็นผู้หญิงเลย พอแปลงเพศเป็นผู้หญิง กลับบ้านไม่ได้ อายไง พออายขึ้นไป ท่านก็ไปอยู่ต่างถิ่นไปมีครอบครัว มีลูกอีก ๒ คน
พอมีลูก ๒ คนนะ คนในถิ่นเดียวกันมาแคว้นนั้น บุรุษนั้นได้เจอก็ได้ถามถึงบ้านเดิมของตน พอถึงบ้านเดิมของตน เขาบอกจำไม่ได้ บ้านเดิมเขาเป็นเศรษฐีไง แต่นี่ทำไมเขาเป็นผู้หญิงล่ะ
เขาก็เล่าให้ฟัง พอเล่าให้ฟังก็ไปขอขมาพระกัจจายนะ พอไปขอขมาพระกัจจานะ กลับมาเป็นผู้ชายอีก เขาเลยเป็นพ่อ ๒ เป็นแม่ ๒ เป็นพ่อของลูก ๒ คน แล้วก็เป็นแม่ของลูกอีก ๒ คน เห็นไหม นี่ไง เวลาคนคิดไปในทางที่ผิดพลาด คิดไปทางรูปสมบัติมันก็ให้โทษอย่างนั้น
แต่ถ้ามันเป็นธรรมๆ ล่ะ สิ่งที่เป็นธรรมนะ ดูสิ เวลาพระที่ว่ารูปร่างเล็กนะ คนต่ำเตี้ยสำเร็จเป็นพระอรหันต์ พอสำเร็จเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา พระเป็นเหมือนกับคนตัวเล็ก ก็พูดเล่น ไปจับหัวลูบเล่นไง พระพุทธเจ้าบอกว่า นั่นพระอรหันต์นะ นั่นพระอรหันต์นะ พระปุถุชนต้องไปขอขมาน่ะ คำว่า “ขอขมา” นั่นพระอรหันต์ แต่เราดูแต่รูปลักษณ์ภายนอกไง รูปลักษณ์ภายนอก รูปสมบัติๆ ไง ถ้ารูปสมบัติ รูปสมบัติมันเป็นวัตถุที่เรารู้เราเห็นได้ไง
แต่ถ้ามันเป็นสัจจะความจริง สัจจะความจริงในหัวใจอันนั้นน่ะ นั่นไง ถ้ามันเป็นธรรมๆ ขึ้นมา มันเหนือรูปสมบัติ เหนือทุกๆ อย่าง ธรรมเหนือโลกๆ ธรรมเหนือโลกมันมาจากไหน ธรรมเหนือโลกนี่
ถ้าธรรมเหนือโลกมันมา ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมบุกสมบันอยู่ ๖ ปีน่ะ คำว่า “สมบุกสมบันอยู่ ๖ ปี” นี่ก็รูปสมบัตินะ นางสุชาดาเห็นเข้านึกว่าเทวดา แต่คำว่า “เทวดา” นั้นน่ะทุกข์มาแล้ว ๖ ปี ทุกข์มาขนาดไหน ขนาดเกิดที่สวนลุมฯ “เราจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย” ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายน่ะ นั่นเวลาเกิดชาติสุดท้ายด้วยอำนาจวาสนาบารมีมา อำนาจวาสนาบารมีมีไว้ทำไม มีไว้ทำไม
มีไว้ให้มันต่อเนื่อง ให้มันต่อยอด ให้มันทำคุณงามความดีต่อเนื่องกันไป อำนาจวาสนาบารมีมีมาแค่นั้นแล้วก็จบลงแค่นั้นหรือ อำนาจวาสนามันมีมา ถ้ามันต่อไป เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วันวิสาขบูชา เวลาเกิด เกิดที่สวนลุมฯ เกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ วันวิสาขะเหมือนกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม เกิดอีกหนหนึ่ง การเกิดนั้นคือการขวนขวาย การเกิดมีการกระทำ การเกิดคือการค้นคว้า การเกิดคืออำนาจวาสนาบารมีมา
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมๆ เอกํนามกึง ไม่มีซ้ำไม่มีซ้อนกัน มีองค์เดียวๆ องค์เดียวเพราะอะไร เพราะสร้างอำนาจวาสนาด้วยความมานะบากบั่นมาก เกิดยากๆ เวลาคนเห็นก็อยากปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ ปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์สร้างบุญกุศลไปๆ ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่พยากรณ์ ถ้ายังไม่พยากรณ์มันยังมีโอกาส
ดูสิ หลวงปู่มั่นท่านก็ปรารถนาของท่าน แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่พยากรณ์ ท่านลา ลาพระโพธิสัตว์อันนั้น พอลาพระโพธิสัตว์อันนั้น ท่านมาขวนขวายของท่านๆ เพราะท่านใช้ปัญญาของท่านคิดไง ถ้าเราปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ เรายังสร้างอำนาจวาสนาบารมีต่อไป มันต้องเกิดตายๆ ไปอย่างนี้ ทุกข์ยากไหม ทุกข์ แล้วเวลาไปถึงที่สุดแล้ว ถ้าไปถึงที่สุดแล้วก็จะได้ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นพระอรหันต์ ในชาติปัจจุบันนี้ ในชาติปัจจุบันนี้ถ้าท่านขวนขวายของท่าน เพราะท่านประพฤติปฏิบัติแล้ว หลวงปู่เสาร์ท่านไปชักชวนมา หลวงปู่เสาร์ท่านคุ้มครองดูแลมา แล้วมันมีปัญญาๆ ถึงได้ไปลาพระโพธิสัตว์อันนั้นไง
ถ้าลาพระโพธิสัตว์อันนั้น เพราะในชาติปัจจุบันนี้ถ้ามีการขวนขวายมา มีการกระทำขึ้นมา ถ้ามันสำเร็จมันก็เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน เป็นพระอรหันต์ แต่เป็นสาวกสาวกะ เป็นพระอรหันต์พระภิกษุ แต่ถ้าสร้างบุญญาธิการไปๆ จะเป็นพระอรหันต์เหมือนกัน จะได้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านเลยตัดสินใจลาความเป็นพระโพธิสัตว์อันนั้น ลาความเป็นพระโพธิสัตว์อันนั้นแล้วมาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ท่านถึงได้มาเป็นหลวงปู่มั่นของเราไง ถ้าเป็นหลวงปู่มั่นของเรา นี่ท่านอาจารย์ใหญ่ๆ อาจารย์ใหญ่วงกรรมฐาน อาจารย์ใหญ่แห่งสังคมไทย อาจารย์ใหญ่ มันมีอำนาจวาสนาบารมี
คำว่า “อำนาจวาสนาบารมี” อำนาจวาสนาบารมีน่ะ เรามีได้อย่างไร ถ้าเรามีอำนาจวาสนาบารมีมา การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น การแข่งขันนั้นเป็นอำนาจวาสนาบารมีหรือ อำนาจวาสนาบารมี คนที่เขามีคุณธรรมของเขา ถ้ามีสิ่งใดขึ้นมานะ มันเป็นไปโดยข้อเท็จจริงไง จักรพรรดิ เขามีขุนพลแก้ว ขุนคลังแก้ว ขุนนางแก้ว ในพระไตรปิฎก ขุนคลังแก้วเขาอยากทดสอบ จักรพรรดิเขาอยากทดสอบขุนคลังของเขา เขาพายเรือไปกลางแม่น้ำกันสองคน นั่งอยู่กลางแม่น้ำน่ะ เอาเรือไปอยู่กลางแม่น้ำ ไม่มีอะไรเลย แล้วก็บอกว่าจะเอาเงินๆ ขุนคลังแก้วเอาที่ไหนล่ะ อยู่กลางแม่น้ำ เอามือจุ่มลงไป จับขึ้นมาให้ๆ นี่ขุนคลังแก้วๆ นี่อำนาจวาสนาบารมีเป็นอย่างนั้น แต่เราทำเป็นบวกหรือทำเป็นลบล่ะ
ถ้าทำเป็นลบมันเป็นเรื่องของโลกๆ ไม่มีอำนาจวาสนาบารมีก็พยายามสร้างสรรกันขึ้นมา พยายามแย่งชิงกันขึ้นมา การแย่งชิงอันนั้นเขาบอกว่าอันนั้นน่ะเป็นอำนาจวาสนาบารมี
อันนั้นมันเป็นอกุศล คำว่า “อกุศล” มันจะเป็นธรรมไปได้อย่างไร มันต้องเป็นกุศลสิ กุศลเป็นคุณงามความดีไง คุณงามความดี เป็นคุณงามความดี เราบากบั่นกันอยู่นี่ เราเป็นคุณงามความดี คุณงามความดีของเรา ถ้าคุณงามความดีของเรา
บ่นกันทุกคนเลย ทำดีไม่ได้ดี ทำดีไม่ได้ดี
ทำดีตรงไหนไม่ได้ดี ทำดีแล้วมันได้ดีอยู่แล้ว ลองไม่ทำดีสิ มันก็ไหลไปกับกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ไหลไปกับโลก เราทำคุณงามความดีมันยับยั้งไว้ เริ่มต้นคือการยับยั้งไว้ คือไม่ไหลไปกับกระแสของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก นี่คือผลประโยชน์ของมันแล้ว
คนเรานะ เวลาจนตรอกขึ้นมานะ มันจะเอาแต่ตัวรอดๆ อะไรสิ่งใดๆ มันก็จะขวนขวายของมันไปๆ ศีล สมาธิ ปัญญา มันยับยั้งเราไว้ เราไม่ทำความชั่ว กรรมสิ่งใดที่ทำแล้วเสียใจภายหลัง สิ่งนั้นไม่ดีเลย เราคิดย้อนถึงที่เราทำมาสิ เราคอตก เราเสียใจ อย่างนี้ก็ไม่ควรทำ อย่างนี้ก็ไม่ควรทำ อย่างนี้ก็ไม่ควรทำ
นี่ไง แต่ถ้ามันมีสติมีปัญญา อำนาจวาสนาที่ยับยั้งไว้ กรรมดี ทำดีได้ดี ดีมันเกิดประโยชน์ตรงนี้ไง แต่คนไม่เห็นผลประโยชน์ของมันไง บอกว่าทำดีแล้วไม่ได้ดี ทำดีแล้วไม่ได้ดี
ทำดีไม่ได้ดีได้อย่างไร ทำดีต้องได้ดี แต่ปฏิคาหก ปฏิคาหก ผู้ให้ให้ด้วยความบริสุทธิ์ สิ่งที่ได้มา สิ่งที่ได้มาด้วยความสะอาดบริสุทธิ์หรือไม่ ขณะที่ให้ เจตนาของเราไง แล้วให้ไปแล้ว สิ่งที่ได้มา ของที่ได้มา เราก็ทุกข์เราก็ยากกันมาอยู่แล้ว สิ่งที่ได้มา ได้มามันก็ด้วยอำนาจวาสนาบารมีของคน ด้วยสภาพแวดล้อมของคน คนมันไม่เหมือนกันหรอก ที่ได้มาๆ มันแตกต่างกันทั้งนั้นน่ะ
แต่เวลาเราเสียสละมันก็มีความคิดอีกอย่างหนึ่ง ความคิดมันคิดมันเป็นจริงเป็นจังมากน้อยขนาดไหน เสียสละไปแล้ว ปฏิคาหก นี่ผู้ให้ ผู้รับรับด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ แล้วใช้ประโยชน์เพื่อสังคม ใช้ประโยชน์ บุญกุศลมันเกิดตรงนี้ มันไม่มี มันไม่มี ไอ้นี่ถ้าเป็นทางโลกนะ แข่งดี ชิงดีชิงเด่นกัน ถ้าชิงดีชิงเด่นเป็นเรื่องกิเลสตัณหาความทะยานอยาก
นี่เราพูดถึงพุทธลักษณะ พูดถึงรูปสมบัติ รูปสมบัติมันก็เรื่องรูปๆ ทั้งนั้น มันเป็นเรื่องวัตถุที่เราเห็นได้ เราจับต้องได้ พอจับต้องได้ เขาก็สร้างแค่นี้ไง เราถึงเสียใจไง เสียใจว่ามันหยาบเกินไปไง มันหยาบเกินไป ดูประเพณีวัฒนธรรม มาวัดมาวากันต้องมีพิธีกรรมร้อยแปด ถ้าไม่มีพิธีกรรมขึ้นไปก็เข้าไม่ถึงศาสนา ไอ้พิธีกรรมมันก็บังศาสนาไว้ ไอ้ตัวศาสนามันคืออะไร ศีล สมาธิ ปัญญาขึ้นมาไง สติเป็นอย่างไร
เวลารัฐบาลเขาบอกว่าชาวพุทธๆ พระพุทธศาสนาสุดยอดเลย แต่ประชากรไทยในพระพุทธศาสนาทำไมมันเหลวไหลกันขนาดนั้นน่ะ มันเหลวไหลเพราะศีล ๕ มันก็ไม่มี ศีล ๕ มันก็ไม่รู้จักไง
หลวงตาท่านบอกเลย ขอศีล ๕ ขอศีล ๕ แล้วมันก็ได้ศูนย์ เวลาขอมันก็ขอของมัน แต่มันไม่หยิบ ไม่ฉวย ไม่จับเลย สมาทานคือหยิบ คือฉวย คือยึดมั่นไว้ไง เราเตือนสติของเราไว้ เราจะไม่ผิดศีล ๕ ไม่ผิดศีล ๕ ถ้ามันไม่ผิดศีล ๕ ประชากรในพระพุทธศาสนามันจะเหลวไหลอย่างนั้นไหม มันก็ไม่เหลวไหลอย่างนั้น ถ้ามันมีขึ้นมาน่ะ
นี่ไง เราไม่ต้องมีพิธีกรรม รูปสมบัติก็รูปภายนอก ไอ้การขอนั่นก็เป็นรูปสมบัติ เป็นพิธีการเท่านั้นน่ะ แต่ถ้าเป็นความจริงๆ มันเกิดจากใจเราไง มีศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ถ้ามีศีล ๕ ศีล ๕ ก็มีศีล ๕ ถ้าศีล ๘ ก็เป็นศีล ๘ ศีล ๑๐ ก็เป็นศีล ๑๐ ศีลมันก็เป็นศีล
ศีล ดูสิ พระที่ในสมัยพุทธกาลไปร้องเรียนพระพุทธเจ้า จะสึก “อู้ฮู! ผิดไปหมดเลย อะไรก็ผิด อะไรก็ผิด ทำไม่ได้ๆ” มันวิตกกังวลไปหมดน่ะ
แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามว่า “ถ้าศีลเหลือข้อเดียวอยู่ได้ไหม”
“ได้”
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงให้ถือเรื่องใจ เรื่องเจตนา ข้อเดียว ศีลมันก็คือศีล ศีลจะมากน้อยแค่ไหน ถ้าเราไม่วิตกกังวล เราไม่ทำอะไรผิดเลย ศีลก็คือศีลไง
ไอ้นี่ขยับไม่ได้เลย นู่นก็ผิด ระแวงไปหมดเลย อยู่ไม่เป็นสุขน่ะ อยู่ไม่เป็นสุข แต่ถ้าเราไม่ทำอะไรผิดเลย เราไม่มีสิ่งใดผิดเลย มันจะผิดตรงไหน ถ้ามันไม่ผิดแล้วไปแบกไว้ทำไมศีลน่ะ ศีลก็เป็นศีลใช่ไหม ศีลมันเป็นข้อห้าม
เวลาหลวงปู่ฝั้นท่านพูดชัดเจนมาก ศีล ๕ ศีรษะ ๑ แขน ๒ เท้า ๒ คือศีล ๕ ถ้ามีศีล ๕ คนเกิดมาถ้าสมบูรณ์ ศีลครบแล้ว คนเกิดมาจากท้องมีศีรษะ ๑ แขน ๒ เท้า ๒ ศีล ๕ นี่หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ฝั้นท่านพูดไง
แล้วเราไปขอเอาจากใคร เกิดจากท้องแม่มันไม่ได้เกิดจากท้องแม่ อยู่ในท้องมันก็สมบูรณ์แล้ว อยู่ในท้องอาการ ๓๒ สมบูรณ์แล้วมันถึงคลอดออกมา มันคลอดออกมามันก็มีศีลมาแล้ว ทีนี้มีศีลมาแล้ว แต่อันนี้มันเป็นศาสนพิธี มันเป็นพิธีกรรมไง ถ้าพิธีกรรม เราก็ทำ ทำเพื่ออะไร
ทำเพื่อพระพุทธศาสนาเราก็มีวัฒนธรรมนะ เดี๋ยวเขาจะดูถูกนะว่าพระพุทธศาสนาไม่มีร่องไม่มีรอยอะไรเลย พระพุทธศาสนาก็มีวัฒนธรรมนะ มีขั้นมีตอนนะ แต่มีขั้นมีตอนนี้ ถ้าเราไปยึดติดมัน รูปสมบัติ พิธีการ ติดตรงนั้น แล้วถ้าเข้ามาไง แล้วถ้าพิธีการแล้วพิธีการมันแก่งแย่งกัน มาอวดกัน วัดนั้นดีกว่าวัดนี้ วัดนี้ดีกว่าวัดนั้น
วัดดี เขาวัดหัวใจ วัดดี เข้ามาวัดแล้วเราเคารพสถานที่ของผู้ทรงศีล ผู้ทรงศีลเขาต้องการความสงบสงัด เราเคารพสถานที่ เคารพบุคคล เคารพอากาศ แล้วก็ยังว่า เคารพมันทำไม
อ้าว! เคารพเพื่อสุขภาพไง เคารพเพื่อสุขภาพ แล้วถ้าสุขภาพดีแล้วจิตใจมันดี ถ้าจิตใจมันดีแล้ว ถ้ามันตั้งใจดี ถ้ามันกำหนดพุทโธ หายใจเข้า หายใจออก เดี๋ยวจะสงบระงับเข้าไป ถ้ามันเดี๋ยวสงบระงับเข้าไปแล้วมันเกิดปัญญาขึ้นมา มันจะเกิดโลกุตตรปัญญา งงอีก โลกุตตรปัญญาเป็นอย่างไร
เวลาโลกียปัญญานี่เก่ง ดูสิ ตรรกะมันรู้กันได้หมด มนุษย์พูดกันได้ด้วยตรรกะความคาดการณ์ได้ เขาเรียกว่าสันนิษฐาน มันคือเดาน่ะ ธรรมะด้นเดา ไม่มีความจริงแม้แต่นิดน้อย
ถ้ามีความจริงขึ้นมานะ ธรรมเหนือโลกๆ มันสะอึกนะ มันสะอึกจริงๆ นะ คนเราทำผิดพลาดมาตลอดเลย แล้วมันสำนึกได้ ถ้าน้ำตาไม่ไหลข้างนอก มันก็ไหลในหัวใจ น้ำตาไม่ตก มันก็ตกข้างใน มันน้ำตาตกอยู่ข้างใน นี่ไง ถ้ามันคิดได้ มันสำนึกได้ไง ถ้ามันสำนึกได้มันก็มีคุณธรรมได้ ถ้ามีคุณธรรมได้ มันก็ทำของมันได้ แล้วถ้าทำได้ขึ้นมา หัวใจที่มีค่าๆ ครูบาอาจารย์ท่านถึงบอกหัวใจนี้มีค่ามากๆ สิ่งใดมันจะมีค่าไปกว่าหัวใจ สิ่งใดจะมีค่ากว่าความรู้สึก
มองตากันสิ มันทุกข์มันยากมา เราส่งสายตาไปสิ โอ้โฮ! เขาเห็นเลยนะ ยังมีคนห่วงใยเรา ยังมีคนคิดถึงเรา มันฟื้นเลยนะ ไม่ใช่มองด้วยสายตาเหยียดหยาม ไม่ใช่มองคนว่าไม่ใช่คน คนมันเป็นคนทั้งนั้นน่ะ
อำนาจวาสนาของเขา พระพุทธศาสนาถึงบอกว่าคนล้มอย่าข้าม พระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์เขาเจอสัตว์เขาห้ามข้ามนะ พระโพธิสัตว์มาเกิดเสวยชาติก็ได้ ถ้าเขาพ้นจากภพชาตินี้ไปเขาจะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้ เห็นไหม คนที่มีคุณธรรมนะ เขาไม่ข้ามแม้แต่สัตว์ ไม่ดูถูกดูแคลนสิ่งมีชีวิต ถ้าสิ่งมีชีวิต เขารักชีวิตของเขาทั้งนั้นน่ะ เขาเสวยภพชาติใดล่ะ เรารู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่เป็น
มีมากในวงกรรมฐาน หลวงตาท่านเล่า มันเป็นเจ้าคุณอยู่ ท่านปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ แล้วท่านก็ฝัน ฝันว่ามันมีปลาช่อนมาเข้าฝันท่านว่า พรุ่งนี้บิณฑบาตให้ช่วยไปปล่อยที ในฝันนั้นเจ้าคุณนั้นก็ถามว่าทำไมต้องมาบอกผมล่ะ
อ้าว! ก็ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ผมก็เป็นพระโพธิสัตว์ นี่ไง ผมก็เป็นพระโพธิสัตว์ พรุ่งนี้ ไปนะ ให้ช่วยปล่อยที
ชาวอีสานเขาจะซื้อปลามาเป็นข้องๆ เขาซื้อมาเป็นโอ่งๆ แล้วเขากักไว้ เขากินของเขาเป็นคราวตลอดไป แล้วปลาที่เขากักไว้ในโอ่งนั้นน่ะจะตายหมด เพราะเขาจะเอาไว้ทำอาหารจนกว่าจะหมดโอ่งนั้น ปลาตัวนั้นตัวหนึ่งมาเข้าฝันเจ้าคุณนั้น นี่หลวงตาท่านเล่า เจ้าคุณนั้น นี่เป็นความฝันนะ
เช้าขึ้นมาก็ไปบิณฑบาต พอไปบิณฑบาตบ้านนั้น เพราะมันคุ้นเคยกัน มันสนิทลูกศิษย์ใกล้ชิด ขอนะ ขอนะ ไม่บอก ถ้าบอกมันจะยาวไกล ถ้าอธิบายมันจะช้าใช่ไหม เดินเข้าไปในครัวเลย มันมีแหล่งน้ำ เอาโอ่งนั้นเทลงแหล่งน้ำไปเลย นี่พระโพธิสัตว์ช่วยเหลือพระโพธิสัตว์ แต่คนละภพคนละชาติ ชาติหนึ่งองค์หนึ่งเป็นพระ เป็นเจ้าคุณ อีกพระโพธิสัตว์อีกใจหนึ่งเป็นปลา นี่ไง เขาถึงไม่ให้ดูถูกดูแคลนกันๆ
คนที่เป็นจริงๆ สิ่งอย่างนี้ สิ่งที่เป็นสัจจะอย่างนี้มันมีอยู่ในวงกรรมฐาน มีอยู่ในวงของคนที่มีความเชื่อในศาสนา มีความเชื่อในเรื่องของวัฏฏะ แต่ถ้าของเรา เราก็ต้องพิสูจน์กันใช่ไหม พิสูจน์กันว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงไง แต่พิสูจน์ก็พิสูจน์ไม่ได้อีก ถ้าพิสูจน์ได้ๆ หลับตาลง หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ พิสูจน์กัน
พุทธศาสตร์ จิตของเราๆ ค้นคว้าให้เจอ ใครหาจิตของตนเจอ ใครพิจารณาตนเองได้ คนคนนั้นจากปุถุชนจะเป็นกัลยาณชน จากกัลยาณชนจะเป็นโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล มรรค ๔ ผล ๔ บุคคล ๔ คู่ จิตใจดวงนี้เป็นได้หมด
ในทางขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มนุสสเปโต มนุษย์เปรต มนุษย์ผี มนุษย์เทวดา เวลามันคิด มันเป็น มันเสวยชาติ มันเสวยชาติคืออาศัยภพนั้น มันอาศัยอารมณ์อย่างนั้น แล้วพิจารณาขึ้นไป เวลาเป็นวรรคเป็นตอนขึ้นไป เป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป มันจะเป็นไปได้ไง นี่พูดถึงว่าฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพื่อเหตุนี้ไง
หัวใจของเราฟังธรรมนะ รูปสมบัติ วัตถุ วิธีการ แต่ความจริงๆ ถ้าใจเป็นธรรมๆ แล้วนะ สาธุ มันเห็นคุณค่าจริงๆ มันเห็นคุณค่าจริงๆ นะ มันจะอยู่ที่ไหนมันก็มีค่า ความรู้สึกอันนี้มันมีค่ามาก ความรู้สึกอันนี้มันมีค่ามาก มีค่าจริงๆ
แล้วดูสิ เวลาเป็นเรา เรามีชีวิตอยู่นั้น สมบัติที่หาได้เป็นของเรา ลองตายเดี๋ยวนี้สิ สมบัติกองอยู่นี่ มันจะไปกับเราได้ก็ความเชื่อของเรา ความดีกับความชั่วของเราไปกับเรา ถ้าไปกับเรา เอาอันนี้ไปกับเรา
เกิดมาภพชาตินี้แล้ว สิ่งนี้ให้ขวนขวายๆ ขวนขวายเพื่อหัวใจของเรา ขวนขวายเพื่อตัวเอง ขวนขวายเพื่อหัวใจดวงนี้ หัวใจดวงนี้ได้ยินได้ฟัง หัวใจดวงนี้ได้ค้นคว้า หัวใจดวงนี้ได้ประพฤติปฏิบัติ แล้วเราเข้าไปเจอเองน่ะ ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก ไม่มีใครยืนยันอะไรทั้งสิ้น มันประกาศกลางหัวใจ หัวใจมันเป็นเอง มันเป็นของมันเอง มันเป็นในใจของมันเอง แล้วใครมันจะหลอกใคร ความลับไม่มีในโลก ใครทำคนนั้นได้ ใครทำคนนั้นรู้ ความลับไม่มีในโลก ความจริงนี้เกิดขึ้นมา ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก มันจะเกิดขึ้นกับเรา นี่ฟังธรรมๆ เนาะ ฟังธรรมเพื่อหัวใจของเรา
หลวงตาท่านพูดอีกน่ะ ความจริงหัวใจเราทุกคนอยากจะมีคนช่วยเหลือ อยากจะมีคนโอบอุ้ม หัวใจมันก็เรียกร้องความช่วยเหลือเหมือนกัน แต่ใครช่วยเหลือมันได้ล่ะ นอกจากตัวมันช่วยตัวมันไง ตัวมันฝึกหัดดัดแปลงจนมันเกิดศีล เกิดสมาธิ เกิดปัญญา เกิดมรรคเกิดผลขึ้นมา มันจะสำรอกมันจะคาย คายสิ่งที่มันมีอำนาจเหนือใจดวงนั้นออกไปเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป คายจนจบสิ้นไง นี่ใจดวงนี้
ใจดวงนี้ สิ่งที่มันคาย คายด้วยมรรค คายด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา มรรค ๔ ผล ๔ มันเกิดขึ้นจากหัวใจดวงนี้ มันเป็นที่นี่ มันถึงมีคุณค่าที่นี่ไง สิ่งอื่นไม่มี กระดาษเปื้อนหมึก มันก็อยู่อย่างนั้นน่ะ สรรพสิ่งในโลกเป็นวัตถุหมดน่ะ มันไม่รู้สุขรู้ทุกข์หรอก สิ่งที่รู้สุขรู้ทุกข์คือความรู้สึก คือใจ ใจอย่างเดียว ใจเราเท่านั้น เอวัง